ศาลสั่งจำคุก พ่อแค้น ลูกสาวถูกข่มขืน – ถ่ายคลิป ตั้งศาลเตี้ย ล่าหัวคนร้ายมาทรมาณ ใช้กระบองไฟฟ้านาน 7 จนตาย ถูกจำคุก 12 ปี วันที่ 11 มิถุนายน 2565 เว็บไซต์ ETtoday สำนักข่าวประเทศไต้หวัน มีรายงานจากศาลเขตไถจง ออกคำพิพากษาให้ชาย แซ่หลิน ต้องจำคุกเป็นเวลา 12 ปี หลังก่อเหตุร่วมมือกับเพื่อน 3 คน จับชายคนหนึ่งไปกักขัง ซ้อมทารุณกรรมนานถึง 7 วัน และใช้กระบองไฟฟ้าจี้ตามร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส กระทั่งไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นทีประเทศใต้หวัน
หลังจากศาลลงความเห็นให้ นายแซ่หลิน จำคุกเป็นเวลา 12 ปี ข้อหาร่วมมือกับพวกอีก 3 คน กักขังและทำร้ายร่างกายชายคนหนึ่งจนถึงแก่ชีวิต ต้นเหตุมาจากการที่ หลิน เชื่อว่าลูกสาวของเขาถูกชาย แซ่หวัง รวมหัวกับคนอื่น ๆ วางยาและข่มขืน โดยมีการถ่ายคลิปเก็บไว้แบล็กเมล
เหตุการณ์นั้นส่งผลให้ลูกสาวของ หลิน ต้องจมอยู่กับความทุกข์และเป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนัก จนกระทั่งตัดสินใจฆ่าตัวตายเมื่อปี 2560 แต่เนื่องจาก หลิน ไม่มีหลักฐาน ดังนั้นในเดือนกรกฎาคม 2562 เขากับเพื่อนอีก 3 คนจึงบุกไปจับตัว หวัง มาขังที่ม่านรูดในเมืองหนานโถว เพื่อรีดเอาความจริง และบังคับให้ยอมรับสารภาพ
โดยวิธีการของนาย หลิน สั่งให้หวังเขียนจดหมายขอโทษ บอกรายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิด ยอมบอกสถานที่เก็บแผ่น CD ซึ่งมีคลิปที่แอบถ่าย ก่อนจะให้หวังคุกเข่าขอโทษ และปล่อยตัวไป
แต่หลังจากปล่อยตัวไป หวัง ก็ยังไม่เอาหลักฐานต่าง ๆ มาให้ตามสัญญา หลินกับพวกจึงบุกไปจับเขาอีกครั้งในวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ก่อนจะพาไปขังไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ ทั้ง 4 คนได้ร่วมกับทำร้ายทุบตีหวัง รวมถึงนำกระบอกไฟฟ้ามาจี้ทั่วร่างกาย
กระทั่ง 7 วันต่อมา ชาย 2 คนที่ร่วมลงมือสังเกตเห็นว่าหวังแน่นิ่งไปแล้วและตัวเย็นมาก จึงรีบพาหวังไปส่งโรงพยาบาลในสภาพบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งไปถึงโรงพยาบาลนาย หวัง ก็ได้เสียชีวิตในที่สุด
เมื่อสถานการณ์รุนแรง ชายทั้ง 2 คนจึงยอมมอบตัวกับตำรวจ กระทั่งนำมาสู่การจับกุมหลินและพวกอีก 1 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่พบหลักฐานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการก่อเหตุอยู่ในรถของผู้ต้องหา
ทั้งนี้การกระทำดังกล่าว ศาลมองเห็นว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ สั่งจำคุกนาย หลิน หัวหน้าของผู้ก่อเหตุเป็นเวลา 12 ปี ศาลยังตัดสินให้ผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 ราย จำคุก 8-10 ปี ส่วนผู้ก่อเหตุอีกรายยังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 คนยังจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวของชายที่เสียชีวิต ร่วมกันเป็นจำนวนกว่า 800,000 บาท
ชายจีนใจสลาย หลังพบ ภรรยานอกใจ ซ้ำร้าย ลูกทั้งสามคน ไม่ใช่ลูกแท้
กลายเป็นเรื่องฉาวในสื่อสังคมออนไลน์จีน หลัง ชายคนหนึ่งพบว่า ภรรยานอกใจ แถมซ้ำร้าย ลูกทั้งสามคน ไม่ใช่ลูกแท้ๆ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน สำนักข่าว SCMP ได้รายงานถึงเหตุสุดเศร้าของชายจีนวัย 45 ปีที่ได้ยื่นขอหย่ากับภรรยาที่แต่งงานด้วยกันมานาน 16 ปี หลังพบความจริงสุดช็อกว่า ลูกสาวสามคนที่เขาเลี้ยงดูนั้นไม่ใช่ลูกของเขาแท้ๆเลยซักคน
ชายสกุล เฉิน จากมณฑลเจียงซีนั้นมักจะทำงานห่างจากบ้าน แต่เขาไม่เคยสงสัยเลยว่าภรรยาของเขานอกใจ เพราะเขาพูดคุยและวิดีโอคอลกับภรรยาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเขาเริ่มสงสัยว่าภรรยาของเขาซ่อนอะไรบางอย่างเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
โดยภรรยาสกุล หยู เริ่มไม่รับสายของเขาและบ่นว่าเธออยากทำงานนอกบ้านบ้าง ทำให้เขาตัดสินใจสะกดรอยตามภรรยาของเขาผ่าน GPS บนมือถือ ก่อนที่ GPS จะพาเขามายังโรงแรม และเขาก็พบความจริงว่า ภรรยาเข้าพักโรงแรมแห่งนี้กับชู้ของเธอ
ทั้งนี้ เฉิน เลือกจะให้อภัยภรรยาเขา แม้ว่าผลตรวจจะออกมาว่าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผลตรวจเพิ่มเติมพบว่าลูกทั้งสามคนไม่ใช่ลูกของเขาเลย ซึ่งในระหว่างที่เฉินให้สัมภาษณ์เขาถึงร่ำไห้พร้อมกุมศีรษะของเขา
ด้าน หยู ที่หายตัวไปอย่างปริศนาและยังไม่สามารถตามตัวให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ว่า เธอไม่คิดว่าเธอนอกใจ พร้อมตั้งคำถามว่าการเป็นพ่อแท้ๆจำเป็นหรือไม่ พร้อมหยิบยกว่ามีคู่รักหลายคู่รับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงตลอด และขอให้ทุกคนสงสารเธอ เพราะลูกๆเรียกนาย เฉิน ว่าพ่อมาหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้มาบอกว่าลูกสาวของเขาไม่ลูก พฤติกรรมนี้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์
ขณะที่ชาวเน็ตได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นาง หยู กันอย่างมาก พร้อมแสดงความสงสารสามีว่า แม้ศาลจะตัดสินให้เขาได้เงินชดเชย แต่คงไม่มีอะไรเยียวยาหัวใจของนายเฉินที่แตกสลายได้
WHO เตรียมหารือ เปลี่ยนชื่อฝีดาษลิง เลี่ยงตีตราสัตว์หรือภูมิภาค และสร้างผลกระทบแง่ลบให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่าองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้รายงานว่าทางองค์การกำลังหารือเปลี่ยนชื่อฝีดาษลิง (Monkeypox) หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์จาก 30 ประเทศ มองว่าชื่อฝีดาษลิงนั้นไม่เข้ากับกฎระเบียบตั้งชื่อของทาง WHO
โดยนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ระบุในจดหมายว่า “ในบริบทของการแพร่ระบาดที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนี้ การที่ยังคงตั้งชื่อไวรัสดังกล่าวให้สื่อว่ามีต้นกำเนิดจากแอฟริกานอกจากจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการเลือกปฏิบัติและตีตราอีกด้วย”
แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น